Enhanced Ghost Header with Universal Hamburger Menu
VITAL MASTERY
VITAL MASTERY
บทความ

ลูกควรเริ่มใช้ Social Media เมื่อไรดี?

ลูกควรเริ่มใช้ Social Media ตอนอายุเท่าไหร่? รู้ทันอันตราย พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปกป้องลูกคุณ

ลูกควรเริ่มใช้ Social Media เมื่อไรดี?

เกริ่นนำ

หนึ่งในงานหลักของผม คือการเป็นส่วนหนึ่งของทีมฟื้นฟู ร่วมกับนักกายภาพบำบัด และนักกิจกรรมบำบัด ในการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก ทั้งเด็กปกติและกลุ่มเด็กพิเศษ

หากไม่มีภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่สอนผมในงานสาขานี้ ผมคงกลัวไม่กล้าทำงานด้านนี้อย่างแน่นอน ขอบคุณที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เป็นอย่างสูงครับ

สัปดาห์ที่แล้ว ผมเห็นเด็กคนหนึ่งอายุประมาณระดับชั้นประถม กำลังนั่งดูคลิป Tiktok ระหว่างรอผู้ปกครอง ผมจึงสงสัยในประเด็นนี้ว่า อายุที่เหมาะสมของเด็กที่เริ่มใช้ Social media ควรเริ่มที่อายุกี่ขวบ และนั่นคือที่มาของบทความนี้ครับ


กฏหมายในสหรัฐ

ในสหรัฐ มีกฎหมายที่เรียกว่า Children’s Online Privacy Protection Act (COPPA) หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของเด็กในโลกออนไลน์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 1998 โดยกำหนดให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน จึงจะสามารถทำสัญญากับบริษัท Social Media Platform (Term of Use - เงื่อนไขการให้บริการ) เพื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและยินยอมสละสิทธิบางประการเมื่อเปิด Account

กฎหมายนี้จึงเป็นตัวกำหนดอายุที่ถือว่า “เป็นผู้ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต” ไว้ที่ 13 ปี - ซึ่งแทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือสุขภาพจิตของเด็กเลย

นอกจากนี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้บังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องตรวจสอบอายุจริงของเด็ก ทำให้เด็กสามารถใส่วันเกิดปลอมเข้าไป และใช้งานได้ทันที โดยที่ผู้ปกครองไม่ได้รับรู้หรือให้ความยินยอมเลย ซึ่งประเด็นนี้ในบางรัฐในสหรัฐกำลังอยู่ในช่วงร่างกฏหมายเพื่อเพิ่มมาตรการความเข้มงวด

ในความเป็นจริง เด็กอเมริกันอายุต่ำกว่า 13 ปีมากถึง 40% มีบัญชี Instagram ของตัวเอง


ทำไมเรื่อง Social Media ถึงสำคัญต่อเด็ก

ผู้ใหญ่บางคนอาจมีปัญหาการเสพติด Social Media แต่ก็เหมือนกับบุหรี่ แอลกอฮอล์ หรือการพนัน และอื่น ๆ ตรงที่เราให้สิทธิผู้ใหญ่ตัดสินใจเลือกเองว่าจะใช้สิ่งเหล่านี้หรือไม่.แต่กับเด็กและเยาวชนไม่ใช่เช่นนั้น ตามธรรมชาติแล้ว สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหารางวัล (reward-seeking เป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหลั่ง Dopamine) จะเติบโตเต็มที่ “เร็วกว่า” สมองส่วนหน้า (frontal cortex) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมตนเอง (self-control) การชะลอความพึงพอใจ (delay of gratification) และการต้านทานสิ่งล่อใจ (resistance to temptation)

สมองส่วนหน้า (frontal cortex) นี้จะมีการพัฒนา “อย่างรวดเร็ว” ในช่วงก่อนวัยรุ่น (preteens) ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 9-12 ปี และจะพัฒนา “เต็มที่” เมื่ออายุ 20 ปี

ดังนั้นในกลุ่ม “ก่อนวัยรุ่น” นี้ถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อการถูกชักจูงมากเป็นพิเศษ เด็กกลุ่มนี้มักรู้สึกไม่มั่นคงทางสังคม (socially insecure) อ่อนไหวต่อแรงกดดันจากเพื่อน (peer pressure) และถูกล่อลวงได้ง่าย หากเข้าร่วมกิจกรรมที่พวกเขารู้สึกว่ากำลังถูกทดสอบว่าจะได้รับการยอมรับจากสังคม (social validation) หรือไม่

เหตุผลข้างต้นนี้เองเป็นที่มาของกฎหมายที่ไม่อนุญาตให้บุคคลที่อายุน้อยกว่า 20 ปี ซื้อบุหรี่ แอลกอฮอล์ หรือเข้าไปในคาสิโน


ผลกระทบของ Social Media ต่อเด็ก

การกำเนิดของสมาร์ตโฟน ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่เปลี่ยนวิถีชีวิตในวัยเด็กจาก “การเล่น” ไปสู่ “การใช้โทรศัพท์” เป็นพื้นฐาน เด็กและวัยรุ่นจำนวนมากพอใจที่จะอยู่ในบ้านและเล่นมือถือ

ในระหว่างกระบวนการนี้เอง พวกเขาได้สูญเสีย “โอกาสสำคัญ” ที่จะได้รับประสบการณ์ที่กระตุ้นสมองผ่านกิจกรรมทางกายภาพและกิจกรรมทางสังคมตามวัย กิจกรรมเหล่านี้สำคัญมากต่อการพัฒนาทักษะพื้นฐาน การเอาชนะความกลัวตามธรรมชาติ และการเตรียมตัวที่จะพึ่งพาพ่อแม่น้อยลง

โดยสรุป คือ ผลกระทบทางด้านพัฒนาการและด้านจิตใจจากการใช้ Social Media ในเด็กและวัยรุ่นนั้นสูงมาก ในขณะที่ประโยชน์แทบไม่มีเลย

ประเด็นเหล่านี้ บางครั้งก็ดูย้อนแย้ง เพราะเด็กบางกลุ่มมักถูกพ่อแม่ห้ามไม่ให้เล่นอย่างอิสระ เพื่อปกป้องจากอันตรายจากสภาพแวดล้อมในโลกความเป็นจริง (overprotection in the real world) แต่การตระหนักถึงอันตรายของ Social Media นี้ พ่อแม่บางกลุ่มกลับตระหนักรู้และปกป้องลูกน้อยเกินไป (underprotection in the virtual world)

ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ เด็กในยุคที่ใช้มือถือเล่น Social Media ก่อนวัยอันควร จะเติบโตขึ้นเป็น “คนรุ่นวิตกกังวล” (the anxious generation) - ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่บัญญัติโดยคุณ Jonathan Haidt ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาเชิงสังคม (social psychology) จาก NYU


คำแนะนำถึงคุณพ่อแม่

American Academy of Pediatrics (AAP) แนะนำว่าควรรอจนเด็ก “อายุอย่างน้อย 13 ปี” ก่อนอนุญาตให้เล่นโซเชียลมีเดีย และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็ควรกำหนดกติกาการใช้ Social Media ที่ชัดเจน เช่น จำกัดเวลาใช้งานแต่ละวัน และไม่นำอุปกรณ์เข้าไปในห้องนอนเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับของเด็ก

ในหนังสือของคุณ Jonathan Haidt มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอีก 4 ประการ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “หลักพื้นฐาน (foundational)” ของการมีวัยเด็กที่มีสุขภาพดีขึ้นในยุค Social Media (โดยผมขออนุญาติแปลแบบปรับปรุงให้เข้ากับบริบทสังคมไทย) ได้แก่

  1. เห็นว่าควรขยายอายุเป็น ไม่ให้เด็กใช้โซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 ปี ปล่อยให้เด็ก ๆ ได้ผ่านช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของการพัฒนาสมองไปก่อนจนกว่าพวกเขาจะพร้อมที่จะเชื่อมโยงเข้ากับโลกแห่ง Social Media - โลกที่คุณ Jonathan Haidt ให้ความเห็นว่ามีการเปรียบเทียบทางสังคมและการถูกชี้นำโดยอัลกอริทึมจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์สูง
  2. บล็อกแอป Social Media ในสมาร์ทโฟน หากต้องให้โทรศัพท์แก่เด็กก่อนอายุ 13-16 ปี ผ่าน parental mode หากจำเป็นต้องให้โทรศัพท์แก่เด็ก พ่อแม่ควรให้เด็กใช้เพียงโทรศัพท์พื้นฐาน (basic phones) ที่มีแอปจำกัดและไม่มี Social Media
  3. ส่งเสริมให้ในชั้นเรียนต้องปลอดโทรศัพท์มือถือ ในโรงเรียนทุกระดับ ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมต้น นักเรียนควรเก็บโทรศัพท์ สมาร์ทวอทช์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่สามารถส่งข้อความหรือรับข้อความได้ ไว้ในล็อกเกอร์หรือกระเป๋าเก็บโทรศัพท์ที่ล็อกไว้ตลอดช่วงเวลาเรียน โดยคุณ Jonathan Haidt เชื่อว่านี่คือวิธีเดียวที่จะช่วยให้นักเรียนมีสมาธิจดจ่อกับเพื่อนร่วมชั้นและคุณครูได้อย่างเต็มที่
  4. เพิ่มการเล่นอย่างอิสระ (free play) ของเด็กให้มากขึ้นกว่านี้ การเล่นอย่างอิสระคือวิธีธรรมชาติที่เด็กจะได้พัฒนาทักษะทางสังคม เอาชนะความวิตกกังวล และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลตนเองได้อย่างแท้จริง

สรุป