Enhanced Ghost Header with Universal Hamburger Menu
VITAL MASTERY
VITAL MASTERY
บทความ

The Body Keeps the Score. ปลดล็อกปมในใจ เมื่อร่างกายไม่เคยลืม

บทเรียนจากหนังสือ The Body Keeps the Score. ค้นพบวิธีเยียวยาบาดแผลในจิตใจ เพื่อฟื้นฟูชีวิตให้กลับมารู้สึกมีคุณค่าในตัวเองอีกครั้ง

The Body Keeps the Score. ปลดล็อกปมในใจ เมื่อร่างกายไม่เคยลืม

The Body Keeps the Score เป็นหนังสือที่เขียนโดยนายแพทย์ เบสเซล แวน เดอ คอล์ค (Bessel Van Der Kolk, M.D.) จิตแพทย์ผู้ศึกษาด้านบาดแผลในจิตใจหลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์รุนแรง (Post-traumatic stress disorder, PTSD) เช่น การสูญเสียคนหรือสัตว์เลี้ยงที่รัก การถูกข่มขืน เป็นต้น มาเป็นระยะยาวนาน

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2014 และได้กลายเป็นหนึ่งในหนังสือคลาสสิกในหมู่ผู้อ่านทุกครั้งที่มีการพูดถึงภาวะ PTSD จวบจนทุกวันนี้ มีฉบับแปลไทยด้วย แต่อาจหาซื้อได้ยากตามร้านหนังสือทั่วไป (สั่งซื้อออนไลน์ได้ ที่นี่)


ร่างกายคือบันทึกที่มีชีวิตของความเจ็บปวด

บทเรียนที่ทรงพลังที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือ การที่เราต้องตระหนักให้ได้ว่า บาดแผลในจิตใจ (Trauma) ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องเล่าที่แม้เราอยากลืมแต่ก็ลืมไม่ได้ แต่มันคือสภาวะที่สมองของเราถูกบังคับให้จดจำ

เพราะผู้มีบาดแผลทางใจไม่ได้แค่ "นึกถึง" อดีต แต่พวกเขากำลัง "หวนกลับไปเจ็บปวดซ้ำ" ทั้งในระดับอารมณ์และร่างกาย ความรู้สึกหวาดผวา หัวใจที่เต้นรัว หรืออาการชาด้านไร้ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความอ่อนแอทางจิตใจแต่อย่างใด

ในทางประสาทวิทยา เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสมองส่วนที่เรียกว่า อะมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องตรวจจับภัย ทำงานผิดพลาดและส่งสัญญาณเตือนอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่มีอันตรายแล้วก็ตาม

ในทางกลับกัน สมองส่วนที่ทำหน้าที่จัดลำดับเวลาและเหตุผล กลับทำงานได้ลดลง ทำให้สมดุลระหว่าง "สมองส่วนอารมณ์" และ "สมองส่วนเหตุผล" พังทลายลง นี่คือสาเหตุที่เราไม่ได้แค่ "จำ" แต่ต้อง "เจ็บซ้ำ" เพราะสมองไม่สามารถจัดเก็บเรื่องราวเลวร้ายนั้นให้กลายเป็นอดีตได้

ร่างกายของผู้ที่เป็น PTSD จึง “จำ” โดยปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย ไม่จำเป็นต้อง "จำ" แบบที่คนปกติเข้าใจ


การขาดการเชื่อมต่อกับตัวเอง

หนึ่งในผลกระทบที่ลึกซึ้งที่สุดของบาดแผลทางจิตใจคือ การสูญเสียการเชื่อมต่อกับร่างกายของตนเอง บางคนอาจรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ในร่างกายจริง ๆ หรือไม่สามารถรับรู้ได้ว่าส่วนไหนของร่างกายกำลังรู้สึกอย่างไร

สมองของเรามีส่วนที่เรียกว่าอินซูล่า (insula cortex) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนล่าม แปลสัญญาณจากร่างกายให้เป็นความรู้สึกที่เราเข้าใจได้ เช่น รับรู้ได้ว่าหัวใจที่เต้นเร็วคือความตื่นเต้น หรือกล้ามเนื้อท้องที่เกร็งตัวคือความกังวล

เมื่อเกิด PTSD สมองจะเรียนรู้ว่าความรู้สึกทางกายเป็นสิ่งอันตราย เพราะมันมักมาพร้อมกับความเจ็บปวด ความกลัว หรือความสับสน

สมองจึงพัฒนากลไกการป้องกันโดยการ "ปิด" การทำงานของ insula เพื่อลดการส่งสัญญาณจากร่างกายไปยังจิตสำนึก เปรียบเสมือนกับการปิดเสียงในโทรศัพท์เพื่อไม่ให้ได้ยินข่าวร้าย การขาดการเชื่อมต่อนี้เกิดขึ้นเพราะสมองพยายามปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด โดยการตัดการเชื่อมต่อกับความรู้สึกทางกาย

แต่กลไกนี้กลับกลายเป็นปัญหา เพราะแท้จริงแล้วร่างกายมนุษย์เปรียบเสมือนเข็มทิศที่บอกเราว่าเราปลอดภัยหรือไม่ เมื่อเราไม่ได้ฟังสัญญาณจากร่างกาย เราก็สูญเสียความสามารถในการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม

ลองจินตนาการถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยถูกทำร้ายในวัยเด็ก เมื่อเธอโตขึ้น เธออาจประสบกับสถานการณ์เหล่านี้

สุขภาพกาย

  • เธอมักไม่รู้ว่าตัวเองป่วย จนกระทั่งอาการรุนแรง
  • เธออาจกินอาหารโดยไม่รู้สึกถึงรสชาติหรือความอิ่ม
  • เธออาจไม่รู้ว่าหิวหรือเหนื่อย จึงไม่ดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
  • เธออาจไม่รู้สึกถึงอันตรายในสถานการณ์ที่ควรระวัง เพราะสมองของเธอได้เรียนรู้ว่า "การรู้สึก" เท่ากับ "อันตราย" ดังนั้นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ "ไม่รู้สึกอะไรเลย"

ด้านจิตใจ

  • เธออาจไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเศร้าหรือโกรธจนกระทั่งอารมณ์นั้นระเบิดออกมา
  • เธอไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ เพราะบ่อยครั้งที่เธอแทบจะไม่รู้สึกอะไร จึงเป็นการยากที่เธอจะเข้าใจอารมณ์ของคนอื่น

วัยเด็กคือรากฐานของทั้งชีวิต

หนังสือเล่มนี้ตอกย้ำความจริงอันน่าเจ็บปวดว่า บาดแผลในวัยเด็กนั้นรุนแรงและหยั่งรากลึกกว่าที่เราเคยเข้าใจ ผ่าน ทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory)

ทฤษฎีความผูกพัน หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวเรากับผู้เลี้ยงดูเราในช่วง 5 ปีแรกของชีวิต ความสัมพันธ์นี้คือพิมพ์เขียวที่จะกำหนดสภาพจิตใจและอารมณ์ของเราไปตลอดชีวิต

หากผู้เลี้ยงดูเรา ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม เลี้ยงดูเราบนพื้นฐานของจิตใจและอารมณ์ที่ดี เราจะเติบโตมาเป็นผู้ที่มีรากฐานของจิตใจและอารมณ์ที่แข็งแกร่ง มั่นคง และรู้สึกปลอดภัย

ในทางตรงข้าม หากผู้เลี้ยงดูซึ่งควรเป็นแหล่งของความปลอดภัยกลับกลายเป็นต้นตอของความหวาดกลัว เด็กจะติดอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้งอย่างรุนแรง

บาดแผลจากการถูกทอดทิ้งหรือถูกล่วงละเมิดในวัยเด็กไม่ได้จบลงเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่มันจะกลายเป็นเลนส์ที่เราใช้มองโลก สร้างความยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์ ภูมิคุ้มกันทางใจอ่อนแอลง และเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพจิตมากมายที่มักถูกวินิจฉัยอย่างผิดพลาดว่าเป็นโรคอื่น เช่น ซึมเศร้า หรือไบโพลาร์ โดยที่รากของปัญหาซึ่งก็คือ PTSD กลับไม่เคยถูกแตะต้อง


จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู คือความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์

การเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ PTSD ได้นำไปสู่การพัฒนาวิธีการรักษาที่หลากหลายมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้เข้ารับการบำบัดต้องมี "ความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์" เสียก่อน

การรักษาไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์เป็นพื้นฐานสำคัญของการรักษา ไม่ว่าจะเป็นในห้องบำบัด ที่บ้าน หรือในชุมชน

การสร้างความรู้สึกปลอดภัยนี้ไม่ใช่เพียงการไม่มีภัยคุกคาม แต่รวมถึงการมีความสัมพันธ์ที่อบอุ่น การได้รับการยอมรับ และ การรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ การสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่แข็งแกร่งเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเยียวยา

เมื่อผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์ สัญญาณของร่างกายและจิตใจจะค่อย ๆ เผยออกมา และการรักษาจะเริ่มต้นขึ้น


จุดสูงสุดของการฟื้นฟู คือ การกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง

เป้าหมายสูงสุดของการรักษาคือ การได้กลับมาเป็น "เจ้าของชีวิตตัวเอง" อีกครั้ง

การได้กลับมาเป็น "เจ้าของชีวิตตัวเอง" หมายถึง การได้รู้สึกว่าเราสามารถควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำของตนเองได้ การรู้สึกว่าเราไม่ใช่เหยื่อของอดีต แต่เป็นผู้ที่มีอำนาจในการสร้างอนาคตของตนเอง

การกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตนี้เกิดขึ้นทีละน้อย ผ่านการเรียนรู้ที่จะสังเกตและจัดการกับอารมณ์ การฟื้นฟูการเชื่อมต่อกับร่างกาย การสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ และการค้นหาความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิต


สังคมที่ดี นำไปสู่การเยียวยาที่ดี

ผู้เขียนเสนอว่า เราควรมองภาวะ PTSD ให้ไกลไปกว่ามุมมองว่านี่คือปัญหาระดับปัจเจก แต่คือปัญหาทางสาธารณสุขที่สังคมต้องร่วมกันรับผิดชอบ

มันไม่ใช่แค่โศกนาฏกรรมส่วนตัว แต่เป็นผลผลิตของระบบสังคม โรงเรียน และครอบครัวที่ไม่สามารถมอบความปลอดภัยให้แก่สมาชิกที่เปราะบางที่สุดได้

การสร้างสังคมที่เข้าใจและรองรับผู้ที่มีประสบการณ์เจ็บปวดเป็นสิ่งสำคัญ การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา การดูแลสุขภาพ และระบบยุติธรรมที่ดีพอและคำนึงถึงผลกระทบของบาดแผลทางจิตใจของผู้ป่วย PTSD จะช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การสร้างชุมชนที่มีความเข้าใจ การให้การศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของบาดแผลทางจิตใจ และการลงทุนในโครงการป้องกันไม่ให้เหตุเลวร้ายเกิดขึ้น เป็นการลงทุนในสุขภาพของสังคมโดยรวม

ปัญหาจึงไม่ใช่แค่ "เราจะเยียวยาผู้ที่เจ็บปวดได้อย่างไร" แต่คือ "เราจะสร้างสังคมที่ป้องกันไม่ให้บาดแผลเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกได้อย่างไร"


ความหวังในการเปลี่ยนแปลง

แม้ว่าบาดแผลทางจิตใจจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้ง แต่การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าสมองมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ตลอดชีวิต ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ถาวร ด้วยการรักษาที่เหมาะสม ความอดทน และการสนับสนุนที่ดี ผู้คนสามารถเยียวยาและสร้างชีวิตที่มีความหมายได้

การเข้าใจใหม่เกี่ยวกับบาดแผลทางจิตใจไม่ได้ทำให้เราเห็นความอ่อนแอของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งของจิตใจและร่างกายมนุษย์ ด้วยความรู้และเครื่องมือที่เหมาะสม เราสามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นให้ก้าวผ่านความเจ็บปวดและสร้างชีวิตที่เต็มเปี่ยมได้อีกครั้ง


เมื่อสมองเขียนเรื่องราวใหม่ให้ชีวิต

แม้ว่าบาดแผลทางจิตใจจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้ง แต่การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าสมองมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ตลอดชีวิต (neuroplasticity)

ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ถาวร ด้วยการรักษาที่เหมาะสม ความอดทน และการสนับสนุนที่ดี ผู้คนสามารถเยียวยาและสร้างชีวิตที่มีความหมายได้

การเข้าใจใหม่เกี่ยวกับบาดแผลทางจิตใจไม่ได้ทำให้เราเห็นความอ่อนแอของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งของจิตใจและร่างกายมนุษย์ ด้วยความรู้และเครื่องมือที่เหมาะสม เราสามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นให้ก้าวผ่านความเจ็บปวดและสร้างชีวิตที่เต็มเปี่ยมได้อีกครั้ง

ร่างกายจดจำทุกความเจ็บปวด แต่มันก็จดจำทุกการเยียวยาด้วยเช่นกัน