Enhanced Ghost Header with Universal Hamburger Menu
VITAL MASTERY
VITAL MASTERY
บทความ

ทำไมเราควรใช้ชีวิตแบบมีเป้าประสงค์มากกว่าเป้าหมาย

เป้าหมายเน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ส่วนเป้าประสงค์เน้นความหมายและคุณค่าชีวิตที่ยั่งยืนกว่า

ทำไมเราควรใช้ชีวิตแบบมีเป้าประสงค์มากกว่าเป้าหมาย

บทนำ

ในชีวิตประจำวัน เรามักได้ยินคำว่า "เป้าหมาย (Goal)" และ "เป้าประสงค์ (Purpose)" ถูกใช้อย่างสลับกันจนดูเหมือนมีความหมายเดียวกัน แต่ในเชิงประสาทวิทยา (Neuroscience) แล้ว สองคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เป้าหมาย (Goal) เน้นที่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน วัดผลได้ และมีกำหนดเวลา ขณะที่เป้าประสงค์ (Purpose) เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่า และเน้นความหมายและคุณค่าของชีวิตมากกว่า

การมีเป้าประสงค์ในการใช้ชีวิตจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจที่มั่นคงยั่งยืน ลดความเครียด และช่วยให้สมองหลั่งสารเคมีที่ดีต่อสุขภาพจิต เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งนำไปสู่ความสุขและความพึงพอใจในชีวิตระยะยาว อีกทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเสริมสร้างสมองให้มีความยืดหยุ่นสูง (Neuroplasticity)

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างของคำว่าเป้าหมายและเป้าประสงค์ และแนะนำเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมเราควรให้ความสำคัญกับเป้าประสงค์ เพื่อชีวิตที่มีคุณค่าและความสุขที่ยั่งยืน


เป้าหมาย (Goal)

เมื่อเราพูดถึงเป้าหมาย ในปัจจุบันความหมายจะเป็นในเชิง "ภววิสัย" (objective)

"ภววิสัย" (objective) คือ อยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึก

SMART goal

เป้าหมายที่ดีนั้น เราใช้กรอบแนวคิด SMART framework เข้ามาประยุกต์

เป้าหมายที่ดี ต้องประกอบไปด้วย 5 ด้าน ได้แก่

  1. Specific: มีความเฉพาะเจาะจง
  2. Measurable: วัดผลได้
  3. Achievable: ทำได้จริง
  4. Relevant: สิ่งที่จะทำมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่ต้องการ
  5. Time-bound: มีกรอบเวลามากำหนด

ตัวอย่าง SMART Goal ที่ดี

  1. Specific: มีความเฉพาะเจาะจง เช่น การลดน้ำหนัก
  2. Measurable: วัดผลได้ เช่น การลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัม
  3. Achievable: ทำได้จริง หมายถึง อยู่ในขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราทำได้ เช่น เราอยากลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมโดยการออกกำลังกายและคุมอาหาร ไม่ใช่ เราลดน้ำหนักโดยการอดอาหารทั้งวัน เป็นต้น  
  4. Relevant: สิ่งที่จะทำมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่ต้องการ เช่น เราอยากลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมเพื่อให้สุขภาพเราดีขึ้น โดยการโดยการเดินรอบหมู่บ้านวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่เจ็บข้อเข่า และไปวันที่ฝนไม่ตก 
  5. Time-bound: มีกรอบเวลามากำหนด เช่น เราอยากลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้สุขภาพเราดีขึ้น โดยการโดยการเดินรอบหมู่บ้านวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่เจ็บข้อเข่า และไปวันที่ฝนไม่ตก

หัวข้อ "กรอบเวลา" นั้นจะสัมพันธ์กับหัวข้อ "ทำได้จริง" ไหมด้วย เช่น ถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 1 เดือน อันนี้ไม่สอดคล้องกับหลักทำได้จริง เพราะเป็นเรื่องที่ยากมากที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ และต่อให้ทำได้ ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ดังนั้น

หากคุณอยากลดน้ำหนัก การตั้งเป้าหมายที่ดี ถูกต้องตามหลัก SMART Goal จึงควรเป็น

เป้าหมาย คือ ลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้สุขภาพเราดีขึ้น โดยการโดยการเดินรอบหมู่บ้านวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่เจ็บข้อเข่า และไปวันที่ฝนไม่ตก

ข้อความข้างต้น ถือเป็นเป้าหมายที่ดี

หากทำได้ เราจะมีความภูมิใจ มีความสุขครับ

เพราะ เป้าหมายที่ดี สามารถสร้าง "แรงกระตุ้น" และ "กำหนดทิศทาง" ในการดำเนินชีวิต เปรียบเสมือน "เข็มทิศชีวิต"


ข้อจำกัดของเป้าหมาย (Goal)

ข้อจำกัดที่สำคัญ ของเป้าหมายคือ

เมื่อเราบรรลุเป้าหมายหนึ่งแล้ว สมองจะรู้สึกมีความสุข “เพียงชั่วคราว” ผ่านการหลั่งสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบการให้รางวัลในสมอง (Reward System)

แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของการบรรลุเป้าหมายนี้ไปแล้ว เรากลับสู่ภาวะเดิม หรือาจแย่กว่าเดิม เราอาจอยู่ในภาวะไร้ทิศทาง หรือแม้กระทั่งหมดแรงจูงใจที่จะก้าวต่อไป

หลายคนแก้ปัญหาด้วยการหาเป้าหมายถัดไปที่ท้าทายขึ้น ไม่ต่างจากการปีนภูเขา

การวิ่งไล่ตามเป้าหมายไม่ต่างจากการปีนเขาไปเรื่อย ๆ

เริ่มต้นเราเลือกปีนภูเขาที่ปีนง่ายเสมอ

เมื่อปีนไปถึงยอด เรามีความสุขกับความสำเร็จนี้เพียงชั่วคราว

แล้วมองหาความท้าทายโดยการปีนภูเขาลูกถัดไปที่ยากขึ้น ท้าทายขึ้น เพื่อปีนให้สำเร็จ

โดยธรรมชาติ ภูเขาลูกถัดไปมีแต่สูงและชันขึ้นเรื่อย ๆ


ปัญหาเกิด เมื่อเราตั้งเป้าหมายที่ไม่ใจดีกับตัวเอง

จากการศึกษาวิจัยหลายชิ้น สรุปว่า

ปัญหาทางสุขภาพกายและใจจะเกิดขึ้น หากเราตั้งเป้าหมายโดยไม่ใจดีหรือมีเมตตากับตัวเอง (self-compassion)

อธิบายอีกแบบคือ เราวิจารณ์ตัวเองหนักไป จนทำให้เราตั้งเป้าหมายที่ยาก

งานวิจัยของ Neff และคณะ (2016) พบว่า Self‑criticism หรือ การวิพากษ์วิจารย์ตนเองแบบรุนแรง มักนำไปสู่ ความรู้สึกไม่คู่ควร ความล้มเหลว และความรู้สึกผิด

ต่างจาก self‑compassion ที่เน้นการส่งเสริมความเข้าใจตนเอง ยอมรับ และสนับสนุนตัวเอง เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา

ผู้ที่วิพากษ์ตนเองมาก มักจะตั้งเป้าหมาย 2 แบบ

  1. ตั้งเป้าหมายแบบหลีกเลี่ยงความล้มเหลว (avoidance goals) ซึ่งทำให้ก้าวหน้าได้ช้าลง มีแนวโน้ม "คิดวน" และ "ผัดวันประกันพรุ่ง" มากกว่า
  2. ตั้งเป้าหมายแบบก้าวกระโดด (progressive goal) คือตั้งเป้าหมายให้ยาก บีบเวลาในการทำให้เป้าหมายสำเร็จโดยใช้เวลาสั้นลง เกิดความเครียด

เป้าหมายที่ไม่ใจดีกับตัวเอง มักเป็นความคาดหวังเกินจริง (unrealistic expectations)

โดยเฉพะหากเป็น Perfectionist (บุคลิกที่มุ่งหวังความสมบูรณ์แบบ) จะนำไปสู่ความเครียด, วิตกกังวล, เบิร์นเอาท์ และสุขภาพจิตย่ำแย่

จึงเกิดคำถามที่ว่า แล้วถ้าเราใช้ “เป้าประสงค์” แทน “เป้าหมาย” ล่ะ?


เป้าประสงค์ (Purpose)

เป้าประสงค์ แตกต่างจากเป้าหมาย ตรงที่เป็นคำที่มีความหมายในเชิงอัตวิสัย (Subjective)

เชิงอัตวิสัย (Subjective) คือ เราตั้งเป้าโดยอิงกับตัวบุคคล ซึ่งคือตัวเราเอง โดยขึ้นอยู่กับความรู้สึก ความคิด หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคล

ที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องไม่ต้องวัดผลได้ (objective)

เราตั้งเป้าประสงค์ เพื่อมุ่งหวังสิ่งที่กว้างกว่า ลึกซึ้งกว่า และตั้งเป้าในระยะยาวมากกว่า

เปรียบหมือน “หลักการใช้ชีวิต” (principle) มากกว่า “กำหนดเป้า” เสียด้วยซ้ำ

เราต้องการออกแบบความหมายของชีวิตอย่างไร เรากำหนดเป้าประสงค์เช่นนั้น

เช่น

  • การใช้ชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
  • การสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น
  • การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนลื่อง
  • การดำเนินชีวิตตามหลักคุณธรรมและจริยธรรม

เป้าประสงค์ ให้พลังขับเคลื่อนภายใน (intrinsic motivation) อย่างต่อเนื่อง และไม่จำกัดอยู่ที่ความสำเร็จเพียงชั่วคราว


ทำไมสมองคนเราชอบเป้าประสงค์มากกว่าเป้าหมาย

อธิบายแบบเข้าใจง่าย สาเหตุเพราะ

เป้าหมาย

หากทำสำเร็จ สมองจะหลั่งโดปามีน (dopamine) เพิ่มขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดเป็นความสุขแบบ “สนุก” เราได้รับเมื่อทำเป้าหมายสำเร็จ เหมือนเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จที่ได้ สิ่งนี้เกิดเพียงชั่วคราว

เป้าประสงค์

หากทำสำเร็จ จากมุมมองด้านประสาทวิทยา เป้าประสงค์มีผลต่อสมองในลักษณะที่ลึกซึ้งและยั่งยืนกว่าเป้าหมาย การดำรงชีวิตด้วยเป้าประสงค์กระตุ้นให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทเซโรโทนิน (Serotonin) และออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสุข ความพึงพอใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น สารเคมีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในระยะยาว แต่ยังเสริมสร้างสมองให้มีความยืดหยุ่น (Neuroplasticity) คือปรับตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้สุขภาพกายและจิตดีในระยะยาวด้วย

อ่านแล้วรู้สึกดูเข้าท่ากว่าไหมครับ


เราจึงควรใช้ชีวิตแบบมี "เป้าประสงค์" มากกว่า "เป้าหมาย"

เพราะ ประโยชน์ระยะยาวในด้าน

ความยั่งยืนในการมีแรงจูงใจ: เป้าประสงค์มอบแรงจูงใจที่มั่นคงและยาวนานกว่าเป้าหมาย เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่เฉพาะเจาะจงในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

  • สุขภาพจิตที่ดีขึ้น: การใช้ชีวิตด้วยเป้าประสงค์ช่วยลดความเครียดและความกังวลที่มักเกิดขึ้นจากการมุ่งเน้นผลลัพธ์เฉพาะจุด และช่วยให้เราสามารถรับมือกับความล้มเหลวหรืออุปสรรคได้ดีขึ้น
  • พัฒนาการทางปัญญาที่ดีขึ้น: การมีเป้าประสงค์ส่งเสริมการทำงานของสมองในระยะยาว ทำให้สมองมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ดี
  • ชีวิตรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น: เป้าประสงค์ช่วยให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีความหมายและมีคุณค่า ซึ่งจะส่งผลให้เรามีความสุขและพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น
  • ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น: การมีเป้าประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้อื่นหรือสังคมจะช่วยให้เราเชื่อมโยงกับผู้คนรอบข้างได้ดีขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่

สรุป

  • เป้าหมาย มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราบรรลุสิ่งที่ต้องการในชีวิต
  • แต่หากเราต้องการความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืนมากกว่า เราควรให้ความสำคัญกับการค้นหาและดำเนินชีวิตตามเป้าประสงค์
  • เป้าประสงค์ไม่ใช่แค่การบรรลุผลสำเร็จที่วัดได้ แต่คือการมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย คุณค่า และความสุขอย่างยั่งยืน
  • ทั้งหมดเป็นผลจากธรรมชาติของระบบประสาทและสมอง ที่สนับสนุนการดำรงชีวิตอย่างมีเป้าประสงค์มากกว่าเป้าหมาย