Enhanced Ghost Header with Universal Hamburger Menu
VITAL MASTERY
VITAL MASTERY
บทความ

เช็กลิสต์สัญญาณเริ่มต้นออทิสติกในเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องรู้

แนวทางสำหรับผู้ปกครองเพื่อประเมินลูกเบื้องต้นว่าเสี่ยงเป็นออทิสติกหรือไม่ [อัปเดต 2025]

เช็กลิสต์สัญญาณเริ่มต้นออทิสติกในเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องรู้

ทำความเข้าใจโรคออทิสติก

โรคออทิสติก - Autism หรือ Autism Spectrum Disorder (ASD) - เป็นความผิดปกติของระบบประสาทและพัฒนาการของสมอง (neurodevelopmental disorder) ที่ส่งผลกระทบตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของลูก

พูดง่ายๆ ก็คือ ออทิสติกไม่ใช่โรคติดต่อหรือความเจ็บป่วย แต่เป็นลักษณะการทำงานของสมองที่แตกต่างออกไปตั้งแต่เกิด

ความแตกต่างนี้ทำให้เด็กมีวิธีเรียนรู้ มีวิธีสื่อสารกับคนอื่น และการรับรู้โลกในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งอาจไม่เหมือนกับเด็กส่วนใหญ่ และส่งผลต่อพัฒนาการด้านการเข้าสังคมและการสื่อสารของเด็ก

ปัจจุบันเรามักได้ยินคำว่า "ออทิสติกสเปกตรัม" (Autism Spectrum Disorder, ASD) มากกว่าคำว่า "ออทิสติก" เฉยๆ ใช่ไหมครับ เหตุผลก็เพราะคำว่า "สเปกตรัม" ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า เด็กแต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกันและมีความต้องการการดูแลที่แตกต่างกันมาก เหมือนกับแถบสีรุ้งที่มีหลายเฉดสีในแถบเดียวกัน

บางคนอาจมีอาการไม่มาก สามารถเรียนหนังสือ ทำงาน และใช้ชีวิตประจำวันได้ด้วยตัวเองเกือบปกติ ในขณะที่บางคนอาจต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ดังนั้น การเรียกว่า "สเปกตรัม" จึงช่วยให้เราเข้าใจในความหลากหลายของเด็กๆ กลุ่มนี้ได้ดีขึ้นครับ


สถิติข้อมูลที่ผู้ปกครองควรทราบ

ข้อมูลทางระบาดวิทยาล่าสุดในปี 2021 แสดงให้เห็นว่าทั่วโลกมีผู้ที่มีภาวะออทิสติกประมาณ 61.8 ล้านคน ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) พบว่าเด็กอายุ 8 ปีมีอัตราการเป็นออทิสติก 1 ใน 36 คน หรือคิดเป็น 27.6 ต่อ 1,000 คน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากข้อมูลในปี 2008 ที่มีอัตราเพียง 1.1%

สำหรับข้อมูลในไทยยังค่อนข้างจำกัดครับ สาเหตุส่วนหนึ่งจากการวินิจฉัยเด็กในช่วงเริ่มแรกมักเป็นภาวะ "พัฒนาการล่าช้า" (developmental delay) แทนที่จะเป็นออทิสติกโดยตรง และการเข้าถึงคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางยังมีจำกัด การศึกษาในปี 2566 ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ พบว่า อายุเฉลี่ยในการวินิจฉัยออทิสติกคือ ประมาณ 4 ขวบครึ่ง โดย 60% ของผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยหลังอายุ 4 ปี


สาเหตุของออทิสติก

หลายท่านอาจสงสัยว่า ทำไมลูกถึงเป็นออทิสติก ต้องบอกก่อนเลยว่าไม่ใช่ความผิดของใครครับ แพทย์และนักวิจัยทั่วโลกยังคงศึกษาสาเหตุที่แท้จริงอยู่ แต่จากหลักฐานการวิจัยที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่า มีปัจจัยหลักๆ สองด้านที่เกี่ยวข้อง

ปัจจัยทางพันธุกรรม

การศึกษาเรื่องยีนพบว่า ประมาณ 10-20% ของเด็กออทิสติกมีความผิดปกติในส่วนของโครโมโซมหรือยีนส์บางส่วน ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มอาการทางพันธุกรรมบางชนิด นอกจากนี้ยังพบว่า หากพี่หรือน้องคนหนึ่งเป็นออทิสติก โอกาสที่พี่น้องคนอื่นจะเป็นก็สูงขึ้น รวมถึงเด็กที่มีพ่อแม่อายุมากก็มีความเสี่ยงมากขึ้นด้วย

ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม

ช่วงที่แม่ตั้งครรภ์เป็นช่วงที่สำคัญมาก การได้รับยาบางชนิด การมีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ หรือการสัมผัสกับสารเคมีอันตราย เช่น สารกำจดเชื้อ โลหะหนัก มลพิษทางอากาศ หรือสารเคมีในอุตสาหกรรม อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกในครรภ์ได้

แต่ที่สำคัญคือ ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ และไม่ใช่เรื่องที่ป้องกันได้ทั้งหมด ครับ


การป้องกันและลดความเสี่ยง

แม้ว่าออทิสติกจะยังไม่สามารถป้องกันได้ แต่มีวิธีลดความเสี่ยงในระหว่างตั้งครรภ์:

  • ตรวจสุขภาพก่อนการตั้งครรภ์และฝากครรภ์ตามคำแนะนำแพทย์
  • หลีกเลี่ยงสารเสพติด แอลกอฮอล์ บุหรี่ทุกชนิด
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่มลพิษสูง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาใดๆ ขณะตั้งครรภ์

ออทิสติกเทียม

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้พ่อแม่รู้ไว้คือ เรื่อง "ออทิสติกเทียม" ครับ ซึ่งเป็นภาวะที่เด็กแสดงอาการคล้ายออทิสติก แต่สาเหตุจริงๆ มาจากการขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม โดยเฉพาะการให้เด็กดูหน้าจอมากเกินไปตั้งแต่เล็ก

จากการสังเกตของแพทย์ พบว่าเด็กที่เริ่มดูหน้าจอก่อนอายุ 3 ปี หรือดูนานเกินไปในวัยก่อนเรียน มักจะมีอาการพัฒนาการล่าช้าที่คล้ายกับออทิสติก เช่น พูดช้า ไม่ค่อยสบตา ไม่สนใจคนรอบข้าง

แต่ข่าวดีคือ หากเป็นออทิสติกเทียม เมื่อปรับพฤติกรรมโดยลดเวลาหน้าจอ และเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ การเล่นที่หลากหลาย อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้นได้ครับ ซึ่งต่างจากออทิสติกแท้ที่ต้องการการดูแลรักษาระยะยาว

นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมการไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงสำคัญมาก


องค์ประกอบหลักของภาวะออทิสติก

เพื่อให้เข้าใจภาวะออทิสติกอย่างชัดเจน เราจำเป็นต้องศึกษาลักษณะหลักสามประการที่เป็นแกนหลักของการวินิจฉัย แต่ละลักษณะเชื่อมโยงกันและส่งผลซึ่งกันและกันกับการพัฒนาการของเด็ก

สามเสาหลักที่ผู้ปกครองต้องเข้าใจ

1. ปัญหาด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

เวลาพูดถึงปัญหาการสื่อสารของเด็กออทิสติก หลายคนอาจนึกถึงแค่เรื่อง "พูดช้า" หรือ "ไม่พูด" ใช่ไหมครับ

แต่จริงๆ แล้ว ปัญหามันกว้างกว่านั้นมากครับ มันคือการที่เด็ก "ไม่เข้าใจภาษากาย" ต่างๆ ที่คนเราใช้สื่อสารกัน โดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เช่น

  • ไม่เข้าใจสีหน้า: อาจจะไม่รู้ว่าหน้าแบบนี้คือกำลังดีใจ เสียใจ หรือโกรธ
  • ไม่เข้าใจน้ำเสียง: แยกไม่ออกว่าแม่กำลังพูดเล่นด้วยน้ำเสียงแบบหนึ่ง หรือกำลังดุด้วยน้ำเสียงอีกแบบหนึ่ง
  • ไม่เข้าใจท่าทาง: ไม่รู้ว่าการที่คนอื่นชี้มือแปลว่าให้มองตาม หรือการกอดอกแปลว่าไม่พอใจ

สรุปง่ายๆ คือ เหมือนเขาได้ยินแค่ "คำพูด" แต่ไม่เห็น "ความรู้สึก" ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองหรือทำตัวอย่างไรในสถานการณ์นั้นๆ ครับ

พฤติกรรมเฉพาะที่มักพบ เช่น:

  • ใช้คำพูดและท่าทางสื่อสารได้น้อย
  • เริ่มพูดช้ากว่าปกติหรือยังไม่พูดเลย
  • พูดซ้ำๆ หรือเอาคำที่ผู้ใหญ่พูดมาพูดทวน
  • ไม่สบตา ไม่ยิ้มให้ ไม่ทักทาย
  • เวลาต้องการอะไร จะดึงมือผู้ใหญ่ไปแทนการชี้หรือพูด

การขาดการสบตาที่เป็นธรรมชาติเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนแรกๆ เนื่องจากการสบตาเป็นพื้นฐานของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการสร้างความสัมพันธ์ นอกจากนี้ เด็กยังมีความยากลำบากในการเข้าใจบริบททางสังคมและการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป

2. รูปแบบพฤติกรรมที่จำกัดและการทำกิจกรรมซ้ำ ๆ

เด็กออทิสติกมักแสดงพฤติกรรมและความสนใจที่มีรูปแบบเฉพาะ ซึ่งอาจดูเหมือนการยึดติดกับกิจวัตรหรือของเล่นใดของเล่นหนึ่งอย่างมากเกินไป ความสนใจที่เข้มข้นนี้อาจครอบงำเวลาและความสนใจส่วนใหญ่ของเด็ก ทำให้เกิดความยากลำบากในการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันที่ต่างไปจากเดิม

พฤติกรรมที่สังเกตได้ เช่น:

  • ชอบทำกิจกรรมเดิมซ้ำๆ หากถูกขัดขวางจะหงุดหงิดมาก
  • มองสิ่งที่สนใจซ้ำๆ และสนใจในรายละเอียดปลีกย่อยอย่างมาก
  • ชอบเรียงของให้เป็นระเบียบหรือเป็นแถวยาว
  • ยึดติดกับความคิด สถานที่ หรือกิจวัตรเดิมๆ เช่น ต้องนั่งที่เดิมตลอด
  • หลงใหลในสิ่งที่มีแสงกระพริบหรือมีการเคลื่อนไหว
  • ชอบกระโดด กระพือแขน หรือเขย่าร่างกายซ้ำๆ

การเปลี่ยนแปลงในกิจวัตรประจำวันที่ลูกคุ้นเคย อาจก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อตัวลูกอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากเด็กทั่วไปที่สามารถปรับตัวได้ง่ายกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการให้ข้อมูลลูกล่วงหน้า และการฝึกเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลและฟื้นฟู

3. ความผิดปกติในการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส

ตามเกณฑ์วินิจฉัยล่าสุด (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fifth Edition - DSM-5) ปัญหาด้านประสาทสัมผัสได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาการหลัก เด็กออทิสติกประมาณ 90% มีปัญหาการประมวลผลข้อมูลจากประสาทสัมผัสที่ผิดไปจากปกติ

ปัญหานี้อาจเป็นได้ทั้งความไวเกินไป (hypersensitivity) หรือความไวน้อยเกินไป (hyposensitivity) ต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น:

ความไวเกินไป:

  • ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป ไม่ชอบให้แตะต้อง
  • แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อสิ่งที่ไม่ชอบ

ความไวน้อยเกินไป:

  • ไม่ค่อยตอบสนองต่อแสง สี เสียง การสัมผัส หรืออุณหภูมิ
  • อาจไม่รู้สึกเจ็บเวลาล้ม หรือไม่รู้สึกร้อนเย็น

ปัญหาสุขภาพอื่นที่อาจพบร่วมกับออทิสติก

เด็กออทิสติกบางคนอาจมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งผู้ปกครองควรรู้ไว้เพื่อการดูแลที่ครอบคลุม:

  • ปัญหาการนอน พบได้ค่อนข้างบ่อย อาจส่งผลต่อพฤติกรรมในเวลากลางวัน
  • อาการชัก มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กทั่วไป ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
  • สมาธิสั้น ทำให้อยู่ไม่นิ่ง วอกแวก ไม่สามารถจดจ่อได้นาน
  • ความกังวลและเครียด อาจเกิดจากการไม่เข้าใจสถานการณ์รอบตัว
  • ความเศร้า โดยเฉพาะเมื่อเด็กโตขึ้นและรู้ตัวว่าตนเองแตกต่าง
  • ปัญหาด้านสติปัญญา พบในเด็กประมาณ 1 ใน 3 ที่มีออทิสติก

การแบ่งระดับความรุนแรงของออทิสติก

ในทางการแพทย์ เราแบ่งออทิสติกออกเป็น 3 ระดับตามความต้องการการช่วยเหลือ คิดง่ายๆ ว่าเหมือนแสงไฟสีเขียว เหลือง แดง ที่บอกระดับความต้องการการสนับสนุน

ระดับ 1: ต้องการการช่วยเหลือพอสมควร

เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนหนังสือได้ มีปัญหาในการเข้าสังคมบ้าง ไม่ค่อยยืดหยุ่นเวลาต้องเปลี่ยนกิจวัตร แต่ด้วยการฝึกฝนและการสนับสนุนที่เหมาะสม ก็สามารถดำเนินชีวิตได้ค่อนข้างปกติ

ระดับ 2: ต้องการการช่วยเหลือมาก

เด็กกลุ่มนี้มีปัญหาการสื่อสารที่เห็นได้ชัด ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ติดกิจวัตรเดิมๆ อย่างแข็งแกร่ง ต้องการการดูแลและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

ระดับ 3: ต้องการการช่วยเหลืออย่างมาก

เด็กกลุ่มนี้มีปัญหาการสื่อสารอย่างรุนแรง พูดน้อยมาก ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หากมีการเปลี่ยนแปลงอาจแสดงพฤติกรรมรุนแรง ต้องการการดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา

การรู้ระดับความรุนแรงจะช่วยให้เราวางแผนการดูแลและคาดหวังผลลัพธ์ได้อย่างเหมาะสมครับ


ความสำคัญของการตรวจพบเร็ว

การตรวจพบและการเริ่มการบำบัดในช่วงแรกของชีวิตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ระยะยาวของเด็ก เพื่อให้เข้าใจความสำคัญนี้ เราต้องเข้าใจแนวคิดทางประสาทวิทยา (neuroscience) เกี่ยวกับความยืดหยุ่นของสมอง (neuroplasticity) ในช่วงแรกของชีวิต

พัฒนาการด้านสมอง

สมองของมนุษย์มีความยืดหยุ่นสูงสุดในช่วง 2-3 ปีแรกของชีวิต ในระยะนี้ การเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท (synapses) ถูกสร้างขึ้นและปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว การรักษาฟื้นฟูที่เหมาะสมในช่วงนี้สามารถใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นนี้เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาของสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานศึกษาระยะยาวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาฟื้นฟูตั้งแต่อายุ 15 เดือนมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าเด็กที่เริ่มการรักษาฟื้นฟูตั้งแต่อายุ 27 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความแตกต่างเพียง 12 เดือนนี้สามารถส่งผลต่อความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันและความเป็นอิสระในอนาคตได้

ยิ่งตรวจพบเร็วยิ่งดีต่อลูก

การศึกษาพบว่าสัญญาณเตือนเริ่มต้นของภาวะออทิสติกสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่อายุ 6-12 เดือน และการวินิจฉัยที่แม่นยำมากขึ้นจะสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18-24 เดือนเป็นต้นไป

ข้อมูลนี้หมายความว่าเรามี "โอกาส" ที่สำคัญในการช่วยเหลือเด็กให้ได้รับการรักษาฟื้นฟูที่เหมาะสมก่อนที่รูปแบบของพฤติกรรมจะกลายเป็นรูปแบบที่ถาวรและรักษาฟื้นฟูยากมากขึ้น

ตามคำแนะนำของสมาคมกุมารแพทย์อเมริกัน เด็กทุกคนควรได้รับการประเมินพัฒนาการด้วยเครื่องมือมาตรฐาน เมื่ออายุ 9, 18 และ 30 เดือน เพื่อให้สามารถวินิจฉัยออทิสติกหรือปัญหาพัฒนาการอื่นๆ ได้เร็วที่สุด


ประโยชน์เชิงลึกของการตรวจพบเร็ว

การตรวจพบและรักษาฟื้นฟูเร็วไม่เพียงแต่ช่วยในการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน แต่ยังส่งผลต่อการพัฒนาการแบบองค์รวมสำหรับลูก ได้แก่ การพัฒนาใน 4 ด้าน ดังนี้

1. การพัฒนาทักษะการสื่อสาร

การรักษาฟื้นฟูเร็วช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะการสื่อสารในทุกรูปแบบ ไม่เพียงแต่การพูดเท่านั้น แต่รวมถึงการใช้ท่าทาง ภาษากาย การแสดงออกทางใบหน้า และการเข้าใจอวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ใช่คำพูด) การศึกษาพบว่า เด็กที่ได้รับการรักษาฟื้นฟูโดยการกระตุ้นพัฒนาการ (developmental interventions) มีการพัฒนาทักษะการสื่อสารทางสังคมที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

2. การพัฒนาทักษะทางสังคม

การเรียนรู้ทักษะทางสังคมในช่วงแรกของชีวิตเป็นเหมือนการวางรากฐานของอาคาร หากรากฐานแข็งแรง การพัฒนาด้านอื่นๆ จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น การรักษาฟื้นฟูเร็วช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การเข้าใจสัญญาณทางสังคม และการเล่นร่วมกับเพื่อน ซึ่งทักษะเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้และการปรับตัวในอนาคต

3. การเสริมสร้างความสัมพันธ์และคุณภาพชีวิตที่ดีต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว

เมื่อครอบครัวได้รับการวินิจฉัยและคำแนะนำเร็ว พ่อแม่และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลลูกจะได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็นในการรักษาฟื้นฟู รวมถึงการกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก การฝึกอบรมผู้ปกครองและบุคคลที่เกี่ยวข้องให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาฟื้นฟูได้พิสูจน์แล้วว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีทั้งต่อเด็กและครอบครัว

4. การเพิ่มโอกาสในการพึ่งพาตนเองในอนาคต

เป้าหมายสูงสุดของการรักษาฟื้นฟู คือ การช่วยให้เด็กสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระโดยไม่พึ่งพาความช่วยเหลือของผู้อื่น (independent living) มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การศึกษาระยะยาวพบว่าเด็กที่ได้รับการรักษาฟื้นฟูเร็วมีคะแนนด้านพัฒนาการที่ดีขึ้น มีอาการออทิสติกที่ลดลง และเพิ่มโอกาสในการใช้ชีวิตด้วยตนเองในอนาคตมากขึ้น


แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ปกครอง

สัญญาณเตือนเริ่มต้นที่พ่อแม่ควรเผ้าระวัง

การสังเกตสัญญาณเตือนเริ่มต้นว่าลูกมีแนวโน้มเป็นออทิสติกหรือไม่ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ ผมขอแบ่งสัญญาณเตือนเริ่มต้นตามช่วงอายุ ดังนี้

อายุ 6-12 เดือน: พื้นฐานของการสื่อสาร

ในช่วงนี้ เด็กปกติจะเริ่มแสดงความสนใจในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม สัญญาณเตือนที่สำคัญ ได้แก่

การไม่ตอบสนองเมื่อเรียกชื่อ เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญมาก เนื่องจากการตอบสนองต่อชื่อตนเองเป็นพื้นฐานของการสื่อสารทางสังคม เด็กปกติจะหันมามองหรือแสดงท่าทีว่าได้ยินเมื่อถูกเรียกชื่อ

การขาดการสบตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะให้อาหารหรือเล่นด้วยกัน การสบตาเป็นรูปแบบการสื่อสารที่พื้นฐานที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์

การไม่ยิ้มตอบ เมื่อผู้ปกครองยิ้มให้ หรือการขาดการแสดงออกทางอารมณ์เมื่อเห็นคนที่คุ้นเคย แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการรับรู้และตอบสนองต่อสัญญาณทางสังคม

อายุ 12-18 เดือน: การพัฒนาทักษะการสื่อสารขั้นสูงมากขึ้น

ในช่วงนี้ เด็กปกติจะเริ่มใช้ท่าทางและการชี้เพื่อสื่อสาร สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต ได้แก่

การไม่ชี้สิ่งของ เป็นทักษะสำคัญที่แสดงถึงความเข้าใจในการแบ่งปันความสนใจกับผู้อื่น การชี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความต้องการ แต่ยังเป็นการเริ่มต้นของการสื่อสารแบบสองทาง

การไม่โบกมือลาหรือทำท่าทางสากลอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการเรียนรู้และใช้สัญลักษณ์ทางสังคม

การขาดการเลียนแบบ โดยเฉพาะท่าทางง่ายๆ เช่น การปรบมือ การเลียนแบบเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ทักษะต่างๆ

อายุ 18-24 เดือน: การพัฒนาทักษะด้านภาษาที่มากขึ้น

ช่วงนี้เป็นจุดสำคัญในการพัฒนาภาษาและการเล่นเชิงสัญลักษณ์ สัญญาณเตือนที่สำคัญ ได้แก่

ความล่าช้าในการพัฒนาภาษา ปกติแล้ว ลูกจะเริ่มพูดเป็นคำเดี่ยว (single word) เช่น "พ่อ" "แม่" หรือ "บอล" เมื่อตอนอายุ 12–16 เดือน และเมื่ออายุ 24 เดือน ลูกมักจะเริ่มพูด วลีสั้น ๆ 2 คำ เช่น "กิน ข้าว" หรือ "ไป บ้าน" หากพัฒนาการไม่เป็นไปตามนี้ อาจส่งผลให้การพัฒนาการด้านภาษาและทักษะอื่น ๆ ที่ช้าตามมาในอนาคต

การไม่เข้าใจหรือไม่ทำตามคำบอกง่าย ๆ โดยทั่วไป เด็กปกติในช่วงอายุ 1–2 ปีควรทำตามคำบอก 1 ขั้นตอนได้ และตอนอายุ 2–3 ปีควรทำตามคำบอก 2 ขั้นตอนได้ ดังนั้น หากลูกไม่เข้าใจหรือไม่ทำตามคำบอกง่าย ๆ เมื่อถึงช่วงอายุดังกล่าว แสดงว่าลูกอาจมีปัญหาเรื่องการประมวลผลภาษาที่ได้ยิน เช่น ฟังแล้วไม่เข้าใจคำบอกง่าย ๆ ว่า "หยิบของเล่นมาให้แม่" หรือ "เอาแก้วมาวางบนโต๊ะ"

การไม่เล่นเลียนแบบหรือเล่นแสดงบทบาท โดยทั่วไปเด็กอายุ 12–18 เดือน เด็กจะเริ่มเล่นเลียนแบบอย่างง่าย เช่น "ป้อนน้ำ" ให้ตัวเอง, ใช้แก้วของเล่นจิบน้ำ หรือหวีผมตัวเอง ต่อมาเมื่ออายุ 18–24 เดือน เด็กจะเริ่มเล่นเลียนแบบด้วยกิจกรรมที่มีลำดับขั้นตอน เช่น ป้อนตุ๊กตาเสร็จแล้ว "กล่อมนอน" หรือ "ทำอาหาร" ตามลำดับ การที่ลูกไม่เล่นเลียนแบบหรือเล่นตามบทบาทสมมติ (pretend play) อาจบ่งบอกว่าเด็กอาจมีพัฒนาการด้านความคิดเชิงนามธรรมและจินตนาการช้ากว่ากำหนด


การวินิจฉัยออทิสติกโดยแพทย์

เมื่อพ่อแม่สังเกตเห็นสัญญาณเตือนและนำลูกไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการประเมินหลายขั้นตอนเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แม่นยำ โดยจะเริ่มจากการฟังประวัติจากผู้ปกครองอย่างละเอียด และสังเกตพฤติกรรมของลูกโดยตรง

แพทย์จะดูหลายๆ ด้าน เช่น:

  • การตอบสนองเมื่อเรียกชื่อ การสบตา การยิ้มตอบ
  • ความสามารถในการชี้สิ่งของหรือบอกความต้องการ
  • ปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรหรือคำสั่งใหม่ๆ
  • ลักษณะการเล่น ว่าชอบเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน
  • ความหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดปกติ
  • รูปแบบการพูด เช่น พูดซ้ำๆ หรือใช้น้ำเสียงแปลกๆ

นอกจากนี้ แพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจการได้ยิน เพื่อแยกภาวะอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกัน


การรักษาและฟื้นฟูออทิสติก

เมื่อลูกได้รับการวินิจฉัยแล้ว สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นการรักษาฟื้นฟูที่เหมาะสม การรักษาออทิสติกที่มีประสิทธิภาพจะเป็นแบบองค์รวม ที่คำนึงถึงลักษณะและความต้องการเฉพาะของลูกแต่ละคน

แนวทางการรักษา

การฝึกพูดและสื่อสาร (Speech Therapy) ช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะการใช้คำศัพท์ การออกเสียง การสร้างประโยค และวิธีการสื่อสารความต้องการกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม

การฝึกกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy) สำหรับลูกที่มีปัญหาพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น การใช้มือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ กิจกรรมบำบัดช่วยฝึกการทำงานประสานงานของกล้ามเนื้อต่างๆ

การฝึกทักษะทางสังคม (Social Skills Training) สอนให้ลูกรู้จักวิธีเข้าหาและตอบสนองกับผู้อื่น การทำความรู้จักกับครอบครัวและเพื่อนๆ การเล่นร่วมกันเป็นกลุ่ม

การปรับพฤติกรรม (Behavioral Therapy) ช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมผ่านการให้รางวัล การชมเชย และเทคนิคต่างๆ

การใช้ยาประกอบการรักษา ในบางกรณีที่มีอาการสมาธิสั้น อยู่ไม่นิ่ง หรือพฤติกรรมก้าวร้าว แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อช่วยให้ลูกสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ดีขึ้น

การร่วมกันรักษาเป็นทีมทั้งที่บ้าน โรงเรียนและโรงพยาบาล ที่สำคัญที่สุดคือการที่พ่อแม่ ครูที่โรงเรียน และทีมแพทย์ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การเล่าเรื่องด้วยภาพ การใช้สัญลักษณ์สื่อสาร การเล่นกีฬา ดนตรี หรือศิลปะ


คำแนะนำสำหรับพ่อแม่

สิ่งที่ควรปฏิบัติ

การสังเกตอย่างเป็นระบบ ผู้ปกครองควรบันทึกพฤติกรรมของลูกเป็นประจำ ไม่ใช่เฉพาะเมื่อสงสัยเท่านั้น การมีข้อมูลที่เป็นระบบจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ

การเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของผู้ปกครอง การศึกษาพบว่าผู้ปกครองมักจะรู้สึกว่าลูกมีปัญหาก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ การไม่ปฏิเสธความรู้สึกหรือสัญชาตญาณนี้เป็นสิ่งสำคัญ

การเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียด การบันทึกว่าลูกสามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่สามารถทำอะไรบ้าง และมีพฤติกรรมแบบใดในสถานการณ์ต่างๆ จะเป็นข้อมูลที่มีค่าอย่างมากสำหรับการประเมินโดยบุคลากรทางการแพทย์

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

การรอให้ปัญหาหายไปเอง ภาวะออทิสติกไม่ใช่สิ่งที่จะหายไปเองตามอายุ การรอเพียงแต่ทำให้สูญเสียโอกาสในการรักษาฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพ

การเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น แม้ว่าการเปรียบเทียบอาจให้ข้อมูลบางอย่าง แต่เด็กแต่ละคนมีรูปแบบพัฒนาการที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง การมุ่งเปรียบเทียบจึงอาจสร้างความกังวลใจโดยไม่จำเป็น

การเชื่อความเข้าใจที่ผิด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เช่น ออทิสติกเกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม สามารถนำไปสู่ความผิดพลาดในการตัดสินใจ


เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

ควรรีบพบแพทย์เมื่อ

  1. ลูกสูญเสียทักษะที่เคยมี เช่น เด็กที่เคยพูดได้แล้วหยุดพูด หรือเคยมีการสบตาแล้วหยุดสบตา การถดถอยในทักษะเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญมาก
  2. การไม่บรรลุจุดสำคัญของพัฒนาการ (developmental milestone) เช่น:
    • ลูกไม่ตอบสนองเมื่อเรียกชื่อตอนอายุ 12 เดือน
    • ลูกไม่ชี้สิ่งของตอนอายุ 14 เดือน
    • ลูกไม่มีคำพูดเดี่ยวตอนอายุ 12-16 เดือน
    • ลูกไม่เล่นเลียนแบบตอนอายุ 18-24 เดือน
    • ลูกไม่พูดวลีสั้นๆ 2 คำ ตอนอายุ 24 เดือน

สรุป

ในฐานะผู้ปกครองอาจนำคุณมาสู่จุดที่สังเกตเห็นความพิเศษบางอย่างในตัวลูก ขอให้รู้ไว้ว่า การสังเกตเห็นสัญญาณเริ่มต้นไม่ใช่การค้นหา "ข้อบกพร่อง" แต่คือการค้นพบ "กุญแจ" ดอกสำคัญ เพื่อให้ลูกได้รับการดูแลจากแพทย์และฟื้นฟูได้ทันท่วงที และมอบโอกาสให้เขาได้เติบโตในแบบฉบับของตัวเองอย่างเต็มศักยภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากให้คุณตระหนักไว้ในใจคือ ภาวะนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของใคร และไม่ใช่เรื่องน่าอาย เมื่อเราเปลี่ยนความกังวลให้เป็นความเข้าใจ เราจะเห็นว่าเด็กๆ ไม่ได้ "ผิดปกติ" แต่มี "วิธีรับรู้โลก" ที่เป็นเอกลักษณ์ การสนับสนุนที่ถูกต้องและทันท่วงที จึงเปรียบเสมือนการมอบเครื่องมือที่จำเป็นให้พวกเขาได้เรียนรู้ เติบโต และสร้างความสัมพันธ์กับโลกรอบตัวอย่างมั่นคง

ออทิสติกสามารถได้รับการช่วยเหลือและพัฒนาได้ผ่านการรักษาฟื้นฟูที่เหมาะสม การกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสาร รวมถึงการฝึกทักษะทางสังคม ยิ่งได้รับการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เป้าหมายสูงสุดของเราจึงไม่ใช่การ "แก้ไข" ลูกให้เหมือนใคร แต่คือการส่งเสริมให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างอิสระและมีความสุข ช่วยให้เขาได้เขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ

ก้าวแรกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจของคุณในวันนี้ คือแสงสว่างที่ทรงพลังที่สุด ที่จะส่องนำทางอนาคตทั้งหมดของพวกเขา